ต่อเนื่องจากบล็อกคราวที่แล้วที่ว่าด้วยเรื่องของทักษะทั่วไปที่จำเป็นสำหรับนักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ จากโมเดลของสมาคมวิชาชีพ CILIP สหราชอาณาจักร มาคราวนี้ผมจะได้นำเสนอเนื้อหาส่วนที่เหลือให้ผู้อ่านบลีอกทราบเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่บุคลากรในวิชาชีพจำเป็นต้องสร้างให้เกิดมีขึ้นในแต่ละบุคคลครับ โดยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางดังกล่าวจำแนกออกได้เป็น 8 ด้าน ดังต่อไปนี้
1) การจัดระบบความรู้และสารสนเทศ (organizing knowledge & information) มีความชำนาญในการจัดระบบทรัพยากรสารสนเทศและองค์ความรู้ได้ทุกประเภท สามารถพัฒนาและใช้เครื่องมือ กลยุทธ์ และวิธีการทางเทคนิคต่าง ๆ เพื่อช่วยในการจัดระบบ การสืบค้น และการค้นคืนทรัพยากรสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิผล รวมถึงการทำรายการและการจัดหมวดหมู่ การสร้างเมทาดาทา การจัดทำศัพท์สัมพันธ์ การทำดรรชนี และการออกแบบฐานข้อมูล 2) การจัดการความรู้และสารสนเทศ (knowledge & information management) หมายรวมถึงความเชี่ยวชาญในการรวบรวม จัดระบบ จัดเก็บ และใช้ประโยชน์จากข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ที่มีอยู่องค์การ สามารถสร้างระบบและกลไกในการสงวนรักษาสารสนเทศและความรู้ที่มีคุณค่าสำหรับใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถในการบันทึกข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ที่ได้จากกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้ปฏิบัติงานในองค์การ 3) การใช้งานและการใช้ประโยชน์จากความรู้และสารสนเทศ (using & exploiting knowledge & information) เป็นการนำเอาทักษะด้านสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาสาระของสารสนเทศตลอดจนองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้ใช้ในชุมชน เช่น นักวิจัย นักวิชาการ ประชาสังคม หน่วยงานภาคธุรกิจ องค์การภาครัฐ รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับการให้บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า การวิจัย การทำเหมืองข้อมูล (data mining) การใช้มาตรวัดทางบรรณานุกรม (bibliometrics) การทำสาระสังเขป และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรสารสนเทศ 4) ทักษะวิจัย (research skills) รู้จักเลือกใช้เทคนิคในการวิจัยผสมผสานกับความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินโครงการวิจัยขององค์การ ผู้รับบริการ และบุคคลทั่วไป ในส่วนที่เกี่ยวกับการค้นหาข้อค้นพบหรือผลการวิจัยใหม่ ๆ นอกจากนี้ทักษะการวิจัยยังครอบคลุมความรู้เกี่ยวกับวิธีวิจัย การสืบค้นวรรณกรรม การอ้างอิงผลงาน (citation) สถิติที่ใช้ในการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล และการเขียนรายงาน 5) การกำกับดูแลสารสนเทศและความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ (information governance & compliance) มีความเข้าใจในการวางแผนพัฒนานโยบายและกฎระเบียบข้อบังคับด้านการใช้สารสนเทศ รู้จักรักษาสมดุลระหว่างสิทธิในการได้รับข้อมูลข่าวสารกับการดูแลรักษารักษาความปลอดภัยในระบบสารสนเทศ ตลอดจนต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายสารสนเทศ ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ 6) การจัดการเอกสารและการจัดเก็บถาวร (records management & archiving) มีความรู้ด้านการบันทึก การจัดระบบ และการสงวนรักษาระเบียนเอกสารรูปแบบต่าง ๆ ในองค์การ รู้จักการประเมิน การเก็บรักษา หรือการคัดแยก โดยพิจารณาจากรูปแบบ ความสัมพันธ์ในเนื้อหา การใช้ ระเบียบกฎเกณฑ์ นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงความรู้ในเรื่องของการจัดเก็บและการค้นคืน การแปลงให้เป็นดิจิทัล การอนุรักษ์และซ่อมแชม ตลอดจนการสงวนรักษาระเบียนเอกสารหรือแฟ้มข้อมูล 7) การจัดการและการพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ (collection management & development) เข้าใจกระบวนการในการวางแผน การส่งมอบ การบำรุงรักษา และการประเมินค่าในโครงการด้านการจัดหาและการจัดการทรัพยากรสารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การ และสร้างทรัพยากรสารสนเทศที่รองรับการบริการในอนาคต ความรู้ในหัวข้อนี้ยังครอบคลุมการจัดการทรัพยากรสารสนเทศ การคัดเลือกและจัดหาทรัพยากร และการวางแผนเพื่อการใช้ประโยชน์ในระยะยาว 8) การรู้สารสนเทศและการศึกษาเรียนรู้ (literacies & learning) มีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมและฝึกอบรมผู้ใช้สารสนเทศให้รู้จักการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีการบูรณาการความรู้ด้านการรู้สารสนเทศ ทักษะการอ่าน การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ทักษะการเรียนรู้และการสอน การพัฒนาผู้อ่าน และศิลปะในการถ่ายทอดความรู้ อันที่จริงแล้ว องค์กร CILIP เองก็คงไม่ได้คาดหวังว่านักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศจะต้องมี "ครบ" ทุกทักษะ (4 ด้าน ที่ผมได้นำเสนอในครั้งที่แล้ว) และความรู้เฉพาะทาง (อีก 8 ด้าน ที่ได้นำเสนอในคราวนี้) แต่ประการใด เพียงแต่องค์กรทางวิชาชีพแห่งนี้มุ่งหมายที่จะใช้โมเดลนี้ในการช่วยให้นายจ้างและตัวนักวิชาชีพเองได้ใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาบุคคลากรในวิชาชีพอย่างมีทิศทาง ตลอดจนสอดคล้องกับทิศทางของตลาดงานมากขึ้น หากมีโอกาส ผมจะได้มาเล่าสู่กันฟังถึงโมเดลขององค์กรวิชาชีพแห่งอื่น ๆ อีกนะครับ
0 Comments
![]() แม้ว่าในองค์กรต้นสังกัดที่นักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศปฏิบัติงานอยู่นั้น จะมีการกำหนดคำอธิบายลักษณะงาน ขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ และสมรรถนะเพื่อการประเมินผลการทำงานของผู้ปฏิบัติงานสารสนเทศแตกต่างกันไปตามพันธกิจของแต่ละองค์กรอยู่แล้ว แต่ความพยายามในการที่จะจัดทำมาตรฐานเพื่อประเมินความรู้และทักษะในวิชาชีพก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับเนื้อหาที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างจากงานวิจัยของสถาบันรับรองเพื่อนักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศแห่ง สหราชอาณาจักร (Chartered Institute of Library and Information Professionals - CILIP, 2012) ที่ได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนายจ้าง ห้องสมุด หน่วยงานบริการสารสนเทศและความรู้ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการด้านสารสนเทศและการเรียนรู้ แล้วนำข้อค้นพบจากการวิจัยดังกล่าวมาพัฒนาเป็นฐานความรู้และทักษะสำหรับวิชาชีพ (Professional Knowledge and Skills Base - PKSB) สำหรับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการประเมินความรู้ ความสามารถ ทักษะการทำงาน และคุณลักษณะของบุคลากรสารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนา จัดการศึกษาและฝึกอบรมขั้นสูงแก่นักวิชาชีพในสหราชอาณาจักร ภาพประกอบด้านล่างแสดงขอบเขตเนื้อหาที่ปรากฏในฐานความรู้และทักษะสำหรับวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศ ซึ่งจำแนกออกได้สองหมวดใหญ่ คือ ทักษะทั่วไป (แบ่งย่อยได้อีกจำนวน 4 ทักษะย่อย) และความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (แบ่งย่อยได้อีกจำนวน 8 ด้าน) โดยผมจะขอสรุปประเด็นที่เกี่ยวกับทักษะทั่วไปมานำเสนอในบล็อกนี้เป็นตอนแรกนะครับ ที่มา: Chartered Institute of Library and Information Professionals. (2012). “What is in the Professional Knowledge and Skills Base?.” [Online]. Retrieved April 20, 2013, from http://www.cilip.org.uk/jobs-careers/professional-knowledge-and-skills-base/What-is-in-the-PKSB/Pages/ What%20is%20in%20the%20PKSB.aspx ตามมาตรฐานของ CILIP แล้ว ทักษะทั่วไปที่นักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศจำเป็นต้องมี ควรประกอบด้วย 4 ทักษะต่อไปนี้ 1) ภาวะผู้นำและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (leadership & advocacy) นักวิชาชีพห้องสมุดและสารสนเทศต้องมีภาวะผู้นำด้วยการสร้างแรงบันดาลใจและรู้จักการจัดการกับตนเองและทีมงาน สร้างค่านิยมเชิงบวกของห้องสมุด หน่วยงานบริการสารสนเทศ และศูนย์ความรู้ ให้เป็นที่ตระหนักในองค์การทั้งภายใน และภายนอก ตลอดจนสังคมโดยรวม ทักษะด้านนี้ยังรวมถึงความสามารถในการโน้มน้าวให้กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของหน่วยงานได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาบริการสารสนเทศด้วย 2) การวางแผนและการบริหารเชิงกลยุทธ์ (strategy planning & management) ผู้ปฏิบัติงานสารสนเทศต้องรู้จักการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในระยะยาว สามารถลงมือปฏิบัติตามแผนภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ 3) การมุ่งเน้นที่ผู้รับบริการ การออกแบบงานบริการ และการตลาด (customer focus, service design & marketing) บุคลากรสารสนเทศต้องมีความเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้สารสนเทศ และรู้จักเลือกวิธีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์อันเกิดจากทรัพยากรสารสนเทศและบริการต่าง ๆ ให้ผู้รับบริการได้รับรู้ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน่วยงานบริการสารสนเทศ 4) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (IT & communication) รู้จักใช้ทรัพยากรสารสนเทศและระบบสารสนเทศสมัยใหม่ เช่น ฐานข้อมูล เว็บ ซอฟต์แวร์ โปรแกรมบนอินเทอร์เน็ต สื่อสังคม พร้อมทั้งยังต้องรู้จักที่จะจัดหาทรัพยากรและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์/ดิจิทัลที่ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายมาให้บริการในหน่วยงาน ส่วนทักษะการสื่อสารนั้น นักสารสนเทศต้องมีทักษะในการพูด เขียน และนำเสนอต่อสาธารณชน รู้จักการสร้างเครือข่ายหรือกลุ่มความร่วมมือ และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผล ส่วนตอนที่ 2 ผมจะได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ |
Archives
December 2015
Categories
All
|